Home Medicine โควิดกับการตั้งครรภ์: ข้อมูลที่มีล่าสุดบอกอะไรบ้าง?

โควิดกับการตั้งครรภ์: ข้อมูลที่มีล่าสุดบอกอะไรบ้าง?

0
หญิงมีครรภ์เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในกรุงการากัส แสดงให้เห็นว่าหญิงตั้งครรภ์ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการโรค COVID-19 เครดิต: Manaure Quintero / Reuters

จากการเก็บข้อมูลการวิจัยของกลุ่มต่างๆ ทั่วโลกพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ตั้งครรภ์

“ผู้หญิงตั้งครรภ์มีอาการแย่กว่าคนทั่วไป แต่ความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์มีเพียงเล็กน้อย”

แต่ข่าวดีก็คือเด็กทารกในครรภ์ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อ และมักไม่ป่วย ตัวอย่างเลือดจากสายรกบ่งชี้ว่าไวรัสไม่ค่อยแพร่กระจายจากมารดาสู่ทารกในครรภ์

ยังมีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่มีคำตอบ เช่น นักวิจัยต้องการทราบว่าการติดเชื้อโควิด-19 ในหญิงตั้งครรภ์มีการแพร่หลายมากน้อยเพียงใด เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่รวบรวมจากสตรีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักวิจัยกำลังศึกษาด้วยว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสมากน้อยเพียงไร หรือความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเกิดขึ้นโดยเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งของการตั้งครรภ์หรือหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่ไม่ได้ศึกษา เรื่องความปลอดภัยในการฉีดวัคซีน ตามการทดสอบที่ผ่านมาของผู้ผลิตวัคซีนทุกรายในตลาด ณ ปัจจุบัน ไม่มีการทดสอบในหญิงตั้งครรภ์เลย แม้ว่าการทดลองในปัจจุบันและที่วางแผนไว้จะรวมไว้ด้วยแล้วก็ตาม หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการฉีดวัคซีนตอนนี้จึงเป็นเหมือนหนูทดลอง

ในขณะนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันในเรื่องของการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ ในเดือนมกราคม องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ฉีดวัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตโดย Moderna และ Pfizer / BioNTech ให้กับหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุดเท่านั้น เช่น กลุ่มผู้ที่ทำงานในตำแหน่งแนวหน้าหรือมีปัญหาภาวะสุขภาพอยู่แล้ว และต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์แล้วเท่านั้น ต่อมาโฆษกของ WHO ออกมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเนื่องจากไม่มีข้อมูลที่เพียงพอจึง “ไม่สามารถให้คำแนะนำแนวทางในการปฏิบัติ สำหรับการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ได้”

“ไม่สามารถให้คำแนะนำหรือแนวทางในการปฏิบัติ สำหรับการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ได้”

ความเสี่ยงก่อนคลอด

โดยทั้วไปไวรัสทางเดินหายใจถือเป็นภัยคุกคามต่อหญิงตั้งครรภ์อยู่แล้ว เนื่องจากปอดทำงานหนักกว่าปกติอยู่แล้ว เมื่อมดลูกขยายตัวมากขึ้นมันจะดันกระบังลมสูงขึ้น ทำให้ลดความจุของปอดและยังต้องแบ่งออกซิเจนบางส่วนไปที่ทารกในครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้นการตั้งครรภ์จะมีภาวะลดระบบภูมิคุ้มกันลงอีก เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อทารก ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

สำหรับในกรณีที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่: หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ในรายงานวิจัยไข้หวัดใหญ่ H1N1 ระหว่างการระบาดใหญ่ในปี 2009–10 พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อมีความเสี่ยงสูงต่อการคลอดก่อนกำหนดและสภาวะทารกตายในครรภ์ ดังนั้นสูติแพทย์ทั่วโลกจึงเพิ่มการเฝ้าระวังขึ้นสูงมากขึ้นในช่วงของการระบาด COVID-19 ที่ผ่านมา

ข้อมูลแรกสุดจากประเทศจีน ระบุว่าสตรีมีครรภ์ไม่ได้อาการแย่ไปกว่าสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ในวัยเดียวกัน แต่แพทย์ทั่วโลกไม่เชื่อข้อมูลดังกล่าว เพราะแพทย์ที่ทำงานพบว่าในผู้ป่วยของพวกเขา “ หญิงตั้งครรภ์ป่วยมากกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ”

เมื่อมีการรายงานจากทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น จึงแสดงให้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในการวิเคราะห์การศึกษาจาก 77 กลุ่มที่เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา ทำให้ชัดเจนว่าหญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การรวมข้อมูลจากผู้หญิงมากกว่า 11,400 คนที่ได้รับการยืนยันหรือสงสัยว่าเป็น COVID-19 และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในระหว่างตั้งครรภ์ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด อัตราของหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น COVID-19 ที่เข้ารับการรักษาในห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) สูงกว่าหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ในวัยเดียวกันถึง 62% และอัตราการต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสูงขึ้น 88%

หญิงตั้งครรภ์ที่เป็น COVID-19 มีอัตราต้องเข้าห้อง ICU สูงกว่าหญิงทั่วไปถึง 62% และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสูงขึ้น 88%

ในการศึกษาโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ยิ่งสนับสนุนงานวิจัยดังกล่าว ซึ่งจากการศึกษาในผู้หญิงมากกว่า 400,000 คน ที่มีผลบวกและมีอาการของ COVID-19 ซึ่งในจำนวนนี้มีหญิงตั้งครรภ์ 23,434 คน พบว่าอัตราการเข้า ICU และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในสตรีมีครรภ์เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน (ภาพรายงานความเสี่ยงจากแสดงด้านล่าง)

ในการศึกษาพบว่ากลุ่มหญิงตั้งครรภ์(จุดสีแดง) มีเปอร์เซนต์ความเสี่ยงสูงกว่าคนคนปกติในวัยเดียวกัน(สีฟ้า) ในทุกกรณี
Allotey, J. et al. Br. Med. J. 370, m3320 (2020).

กรณีการศึกษาอัตราการคลอดก่อนกำหนด มีการติดตามผู้หญิงมากกว่า 4,000 คนที่ได้รับการยืนยันหรือสงสัยว่าเป็น COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร พบว่า 12% ของผู้เข้าร่วมในสหราชอาณาจักรคลอดก่อนกำหนดเทียบกับอัตราในประเทศที่ 7.5% ส่วนในสหรัฐอเมริกาพบ 15.7% มีการคลอดก่อนกำหนดเทียบกับอัตราในประเทศที่คาดไว้คือ 10% จากการวิเคราะห์ของนักวิจัย พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ COVID-19 มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดสูงขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีโรค

จากแม่สู่ลูก

หากแม่ติด COVID-19 ลูกน้อยจะได้รับผลกระทบหรือไม่? การคลอดก่อนกำหนดอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในภายหลัง แต่การคลอดก่อนกำหนดในสตรีที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ถือว่าโชคดีเพราะเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์มีโอกาสในการพัฒนาสุขภาพที่ดีที่สุด และข้อมูลจากการศึกษาในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 4,000 คน นักวิจัยค่อนข้างมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้ยังไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างการติดเชื้อ COVID-19 กับอัตราทารกตายในครรภ์หรือการหยุดเจริญเติบโตของตัวอ่อนอย่างชัดเจน

ในการศึกษาที่เผยแพร่จากกลุ่มวิจัยเมื่อธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา มีการรวบรวมข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกพบได้ยาก ในหญิงตั้งครรภ์ 62 รายที่ตรวจพบเชื้อ COVID-19 จากการเก็บตัวอย่างจากจมูกหรือคอ แต่ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเลือดหรือเลือดจากสายสะดือ และทารก 48 รายที่มีมารดาติดเชื้อก็ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสจากการตรวจตั้งแต่วันแรกเกิด

การศึกษาพบว่าเชื้อไวรัส COVID-19 ไม่ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

ทีมงานที่ศึกษายังพบว่าทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ COVID-19 มีอาการปกติดี จากการเปรียบเทียบทารก 179 คนที่เกิดกับมารดาที่ตรวจพบเชื้อ COVID-19 กับทารก 84 คนที่เกิดจากมารดาปกติ พบว่าทารกส่วนใหญ่มีสุขภาพดีเมื่อแรกเกิด รวมถึงอายุ 6–8 สัปดาห์หลังจากนั้นด้วย

นอกจากนี้ มีการตรวจพบแอนติบอดีต่อไวรัสในเลือดจากสายสะดือของมารดาที่ติดเชื้อ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าระดับการป้องกันเหล่านี้มีผลต่อทารกในครรภ์มากเพียงใด

วัคซีนสำหรับหญิงตั้งครรภ์

แพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าหญิงตั้งครรภ์ต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญเป็นกลุ่มแรกๆ สำหรับรับวัคซีน COVID-19 แต่เนื่องจากการทดลองวัคซีนในช่วงแรกไม่ได้รวมหญิงตั้งครรภ์ไว้เลย จึงยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนในกลุ่มนี้

หน่วยงานกำกับดูแลบางประเทศ ผลักภาระให้หญิงมีครรภ์ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะรับความเสี่ยงของความปลอดภัยของวัคซีนหรือไม่ ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค เช่น ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้าควรตัดสินใจร่วมกับแพทย์ว่าจะรับวัคซีนหรือไม่

สำหรับรัฐบาลสวิส กลับไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของหญิงตั้งครรภ์ไว้เลยในตอนแรก โดยให้เหตุผลว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอ ซึ่งนักวิจัยหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าว โดยอ้างว่าความเสี่ยงของโรคที่เกิดกับคนท้องนั้นสูงกว่าและวัคซีน mRNA ที่ส่วนใหญ่ใช้อยู่ปัจจุบัน ไม่ได้มีอันตรายที่เฉพาะเจาะจง นักวิจัยเชื่อว่า เป็นไปได้ยากมากที่วัคซีนนี้จะก่อให้เกิดปัญหากับผู้ป่วยตั้งครรภ์หรือทารกในครรภ์ ในขณะนี้รัฐบาลสวิสจึงแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังบางอย่างจะได้รับพิจารณาให้รับวัคซีนได้

ในสหรัฐอเมริกาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและ CDC ต่างเฝ้าติดตามผลของการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ ทีมงานของมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้จัดทำแบบสำรวจสำหรับกลุ่มผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตรหรือหญิงที่มีวางแผนที่จะตั้งครรภ์และได้รับวัคซีนแล้ว โดยรวบรวมได้กว่า 20,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนของ Pfizer / BioNTech หรือ Moderna ผลจากรายงานพบว่า “ไม่มีธงสีแดง” (ไม่มีอันตราย) และล่าสุด Pfizer ได้เริ่มทดลองวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์แล้ว

หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรถูกละเลยจากการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง

นักวิจัยและกลุ่มผู้สนับสนุนต้องการใช้กรณีการระบาดและการพัฒนาวัคซีน COVID-19 เปลี่ยนมาตรฐานของการทดลองทางคลินิกในอนาคต รวมทั้งการพิจาณาควรที่จะต้องมีการรวมหญิงตั้งครรภ์ในการทดสอบวัคซีนไว้ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้คนกลุ่มนี้ไม่ถูกละเลยจากการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง

บทความเรียบเรียงจาก

Nature 591, 193-195 (2021)
doi: https://doi.org/10.1038/d41586-021-00578-y

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Exit mobile version